เรามาดูสิ่งที่มีผลต่อค่าเบี้ยประกันรถยนต์กันบ้างดีกว่า
สำหรับใครก็ตามที่มีรถยนต์นั้นก็ต้องมีการทำ ประกันรถยนต์ ตาม พรบ รถยนต์ อยู่แล้ว ส่วนใครที่ทำอยากได้ความคุ้มครองเพิ่มดติมก็ต้องทำ ประกันรถยนต์ ภาคสมัครใจ เช่น ประกันรถยนต์ ชั้น 1, ชั้น 2 หรือ ประกัน ชั้น 3 เป็นต้น ส่วนเรื่องของบริษัท ประกันรถชั้น 1 ที่ไหนดี นั้นก็ต้องนำเรื่องอื่นๆ มาเปรียบเทียบด้วย และสำหรับใครก็ตามที่สงสัยว่า ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่แตกต่างกันนั้นมันคำนวณมาจากเรื่องใด เราก็มีคำตอบมาฝากกันด้วย
1. อายุหรือเพศ โดยตามสถิติที่มีการเก็บสำรวจมานั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นชายที่จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าเพศหญิงในวัยที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นแล้วประกันภัยในบางประเภทอาจจะมีค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่สูงกว่า และในทางตรงกันข้ามยั้นผู้ที่อยู่ในช่วงสูงวัย ตามสถิติแล้วจะเป็นเพศหญิงเสียมากกว่าที่เกิดอุบัติเหตุมากกว่าฝ่ายชาย ฉะนั้นผู้หญิงสูงวัยก็อาจจะมีค่าเบี้ยประกันภัยที่จะแพงกว่าผู้ชาย เป็นต้น
2. สถานะสภาพ โสด หรือ สมรส เพราตามสถิติแล้วฝ่สยชายที่มีครอบครัวแล้วนั้นจะเกิดอุบัติเหตุเฉลี่ยน้อยกว่าฝ่ายชายที่ยังไม่มีครอบครัวหรือชายโสด แต่ทั้งนร้ทั้งนั้นทางบริษัทประกันรถยนต์ก็จะต้องดูประวัติการขับขี่ควบคู่กันไปด้วยด้วย และถ้าหากวาสไม่มีการเคลมเลยค่สเบี้ยประกันภับย่อมราคาถูกลงไปเรื่อยๆ
3. เรื่องของถิ่นที่อยู่อาศัย และการนำถิ่นที่อยู่อาศัยมาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุนั้น ก็อย่างเช่น ถนนที่ใช้เดินทางมีรถหนาแน่นหรือไม่ หรือแม้แต่วัตถุประสงค์ในการใช้รถ ระยะทางที่ใช้มากไหมต่อปี วิ่งเท่าไหร่ หรือจำนวนผู้ร่วมเดินทางในรถเป็นประจำๆ โดยทุกอย่างที่เราได้กล่าวมามีผลกระทบต่อการนำการคำนวณเบี้ยประกันภัยแทบทั้งสิ้น
4. ราคายานพาหนะและประเภทรถยนต์ เพราะตามราคารถยนตที่ซื้อมาในแต่ละประเภทนั้นมันจะมีราคาที่แตกต่างกัน โดยบางคันมีราคาถูก อย่างเช่น รถยนต์อีโค คาร์ ที่กำลังได้รับความนิยมกับรถยนต์ในรุ่นระดับแคมรี่หรือแอคคอร์ด ซึ่งแน่นอนว่ารถยนต์อีโค คาร์จะมีค่าเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่าอยู่แล้ว และทั้งนี้ทางบริษัทประกันภัยนั้นก็จะมีการแบ่งย่อยไปเป็นรถญี่ปุ่นกับรถยุโรปอีกด้วย ซึ่งมันก็จะมีราคาค่าเบี้ยประกันภัยที่ก็ไม่เท่ากันนั่นเอง
5. เรื่องของประวัติการเคลมประกัน โดยบริษัทประกันภัยทั้งหลาย ก็มักใช้ปัจจัยนี้ในการประเมินราคาค่าเบี้ยประกันเป็นหลัก ซึ่งถ้าหากว่าผู้ที่เคยทำประกันไม่มีประวัติเสียหรือการเคลมใดๆ ราคาค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ก็ย่อมมีราคาถูกลงกว่าผู้ที่มีประวัติเสียหรือการเคลมบ่อยครั้งอย่างแน่นอน
6. ทางบริษัทประกันภัยก็จะดูในเรื่องของรถที่เสี่ยงต่อการถูกขโมย โดยข้อสุดท้ายนี้ก็อาจจะมีหลายคนที่ยังไม่รู้ คือ เรื่องการคำนวณเบี้ยประกันภัยกับเปอร์เซ็นการสูญหายของรถยนต์แต่ละประเภท ทั้งนี้ก็เนื่องจากการทำประกันภัยรถยนต์บางประเภทครอบคุมดูแล มีการชดใช้เกี่ยวกับด้านรถหาย และถ้าเป็นรถที่มีการสูญหายหรือถูกขโมยเป็นประจำนั้น มันก็จะมีราคาค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้นเป็นธรรมดา
1. อายุหรือเพศ โดยตามสถิติที่มีการเก็บสำรวจมานั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นชายที่จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าเพศหญิงในวัยที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นแล้วประกันภัยในบางประเภทอาจจะมีค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่สูงกว่า และในทางตรงกันข้ามยั้นผู้ที่อยู่ในช่วงสูงวัย ตามสถิติแล้วจะเป็นเพศหญิงเสียมากกว่าที่เกิดอุบัติเหตุมากกว่าฝ่ายชาย ฉะนั้นผู้หญิงสูงวัยก็อาจจะมีค่าเบี้ยประกันภัยที่จะแพงกว่าผู้ชาย เป็นต้น
2. สถานะสภาพ โสด หรือ สมรส เพราตามสถิติแล้วฝ่สยชายที่มีครอบครัวแล้วนั้นจะเกิดอุบัติเหตุเฉลี่ยน้อยกว่าฝ่ายชายที่ยังไม่มีครอบครัวหรือชายโสด แต่ทั้งนร้ทั้งนั้นทางบริษัทประกันรถยนต์ก็จะต้องดูประวัติการขับขี่ควบคู่กันไปด้วยด้วย และถ้าหากวาสไม่มีการเคลมเลยค่สเบี้ยประกันภับย่อมราคาถูกลงไปเรื่อยๆ
3. เรื่องของถิ่นที่อยู่อาศัย และการนำถิ่นที่อยู่อาศัยมาวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุนั้น ก็อย่างเช่น ถนนที่ใช้เดินทางมีรถหนาแน่นหรือไม่ หรือแม้แต่วัตถุประสงค์ในการใช้รถ ระยะทางที่ใช้มากไหมต่อปี วิ่งเท่าไหร่ หรือจำนวนผู้ร่วมเดินทางในรถเป็นประจำๆ โดยทุกอย่างที่เราได้กล่าวมามีผลกระทบต่อการนำการคำนวณเบี้ยประกันภัยแทบทั้งสิ้น
4. ราคายานพาหนะและประเภทรถยนต์ เพราะตามราคารถยนตที่ซื้อมาในแต่ละประเภทนั้นมันจะมีราคาที่แตกต่างกัน โดยบางคันมีราคาถูก อย่างเช่น รถยนต์อีโค คาร์ ที่กำลังได้รับความนิยมกับรถยนต์ในรุ่นระดับแคมรี่หรือแอคคอร์ด ซึ่งแน่นอนว่ารถยนต์อีโค คาร์จะมีค่าเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่าอยู่แล้ว และทั้งนี้ทางบริษัทประกันภัยนั้นก็จะมีการแบ่งย่อยไปเป็นรถญี่ปุ่นกับรถยุโรปอีกด้วย ซึ่งมันก็จะมีราคาค่าเบี้ยประกันภัยที่ก็ไม่เท่ากันนั่นเอง
5. เรื่องของประวัติการเคลมประกัน โดยบริษัทประกันภัยทั้งหลาย ก็มักใช้ปัจจัยนี้ในการประเมินราคาค่าเบี้ยประกันเป็นหลัก ซึ่งถ้าหากว่าผู้ที่เคยทำประกันไม่มีประวัติเสียหรือการเคลมใดๆ ราคาค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ก็ย่อมมีราคาถูกลงกว่าผู้ที่มีประวัติเสียหรือการเคลมบ่อยครั้งอย่างแน่นอน
6. ทางบริษัทประกันภัยก็จะดูในเรื่องของรถที่เสี่ยงต่อการถูกขโมย โดยข้อสุดท้ายนี้ก็อาจจะมีหลายคนที่ยังไม่รู้ คือ เรื่องการคำนวณเบี้ยประกันภัยกับเปอร์เซ็นการสูญหายของรถยนต์แต่ละประเภท ทั้งนี้ก็เนื่องจากการทำประกันภัยรถยนต์บางประเภทครอบคุมดูแล มีการชดใช้เกี่ยวกับด้านรถหาย และถ้าเป็นรถที่มีการสูญหายหรือถูกขโมยเป็นประจำนั้น มันก็จะมีราคาค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้นเป็นธรรมดา
Comments
Post a Comment