น้ำท่วมจะขับรถยังไง มาดูวิธีกัน
สำหรับใครก็ตามที่มีรถยนต์ไว้ใช้งานนั้น เราเชื่อว่าก็คงมีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องมีการทำ ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจไว้คุ้มครองความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย โดยอาจจะเลือกทำ ประกันรถยนต์ ชั้น 1, ประกัน รถยนต์ 2 หรือประกันรถชั้น 3 เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทำแบบใดนั้น อย่างไรเสียมันก็จะให้ความคุ้มครองที่เพิ่มขึ้นจากการทำประกันภัยตาม พรบ รถยนต์ ซึ่งเป็นประกันภาคบังคับที่รถทุกชนิดทุกคันจะต้องทำกัน และสำหรับในวันนี้นั้นเราก็มีวิธีการใช้งานรถในช่วงที่เกิดน้ำท่วมมาฝากทุกๆ คนกันด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่า ประกันภัยบางประเภทำนั้นไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมนั่นเอง ฉะนั้นเราจึงต้องดูแลและก็ใช้ให้ถูกวิธี
1. เราต้องเลือกช่องทางเดินรถที่มีน้ำท่วมขังต่ำที่สุด ซึ่งถ้าหากว่า เราสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังได้ ก็แนะนำให้เลี่ยงไปเส้นทางอื่นจะดีกว่า แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ให้เลือกช่องจราจรที่มีน้ำท่วมขังในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวรถและเครื่องยนต์ หากรถหยุดนิ่งเนื่องจากสภาพจราจรติดขัดก็ไม่ต้องเปลี่ยนไปยังเลนที่มีน้ำท่วมขังสูงกว่า เพราะถ้าเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่น้ำจะไม่มีโอกาสเข้าทางท่อไอเสียเครื่องยนต์อย่างแน่นอน
2. เมื่อรถดับขณะลุยน้ำท่วม ห้ามสต๊าทเครื่องยนต์โดยเด็ดขาด เพราะถ้ารถดับแสดงว่าน้ำได้ไหลเข้าสู่ห้องเครื่องของรถเราเรียบร้อยแล้ว วิธีที่ที่ดีที่สุดคือ ห้ามติดเครื่องยนต์แล้วเราก็ต้หาทางเข็นรถให้อยู่ในจุดที่มีความปลอดภัยหรือจะโทรเรียกศูนย์ประกันภัยรถยนต์มารับรถเพื่อนำไปซ่อมศูนย์ก็ได้
3. ปิดแอร์ทันทีเมื่อระดับน้ำขึ้นสูง ทั้งนี้ก็เพื่อตัดการทำงานของพัดลมแอร์ เนื่องจากใบพัดอาจหมุนกระแทกเข้ากับน้ำด้วยความรุนแรงจนเป็นสาเหตุให้แตกหรือหักได้ ซึ่งถ้าหากว่า ระดับน้ำเริ่มแตะใต้ท้องรถเมื่อไหร่ก็ให้รีบปิดแอร์ได้ในทันที หรือจะปิดก่อนหน้านั้นก็ได้
4. หากขับรถลุยบริเวณน้ำท่วมได้แล้ว ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที เพราะอาจจะมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ฉะนั้นเราควรติดเครื่องยนต์ไว้ก่อนเพื่อให้ความร้อนของเครื่องทำให้น้ำในหม้อพักระเหยออกมาจนหมด และท่อไอเสียของเราก็จะมีควันออกมาด้วย
5. ให้เราใช้ความเร็วต่ำที่สุดขณะลุยน้ำ เพราะการใช้ความเร็วสูงเกินไปจะทำให้น้ำไหลหลั่งเข้ามาในห้องเครื่องยนต์เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว จนอาจจะเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์น็อคเนื่องจากก้านสูบคดหรือหักได้
6. ห้ามเร่งเครื่องยนต์ ซึ่งหลายๆ คนนั้นก็มักจะเข้าใจผิดว่า การขับรถลุยน้ำท่วมต้องเร่งเคท่องให้รอบขึ้นสูงเพื่อป้องกันรถดับ แต่ทั้งนี้ในความเป็นจริงแล้วเป็นวิธีที่ผิด เพราะการการเร่งเครื่องยนต์ขึ้นสูงนอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ๆแล้วยังทำให้เครื่องยนต์มีแรงดูดอากาศเข้าไปยังห้องเผาไหม้มากขึ้น ซึ่งก็ไปเพิ่มความเสี่ยงที่น้ำจะถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์มากขึ้นด้วย
1. เราต้องเลือกช่องทางเดินรถที่มีน้ำท่วมขังต่ำที่สุด ซึ่งถ้าหากว่า เราสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังได้ ก็แนะนำให้เลี่ยงไปเส้นทางอื่นจะดีกว่า แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ให้เลือกช่องจราจรที่มีน้ำท่วมขังในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวรถและเครื่องยนต์ หากรถหยุดนิ่งเนื่องจากสภาพจราจรติดขัดก็ไม่ต้องเปลี่ยนไปยังเลนที่มีน้ำท่วมขังสูงกว่า เพราะถ้าเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่น้ำจะไม่มีโอกาสเข้าทางท่อไอเสียเครื่องยนต์อย่างแน่นอน
2. เมื่อรถดับขณะลุยน้ำท่วม ห้ามสต๊าทเครื่องยนต์โดยเด็ดขาด เพราะถ้ารถดับแสดงว่าน้ำได้ไหลเข้าสู่ห้องเครื่องของรถเราเรียบร้อยแล้ว วิธีที่ที่ดีที่สุดคือ ห้ามติดเครื่องยนต์แล้วเราก็ต้หาทางเข็นรถให้อยู่ในจุดที่มีความปลอดภัยหรือจะโทรเรียกศูนย์ประกันภัยรถยนต์มารับรถเพื่อนำไปซ่อมศูนย์ก็ได้
3. ปิดแอร์ทันทีเมื่อระดับน้ำขึ้นสูง ทั้งนี้ก็เพื่อตัดการทำงานของพัดลมแอร์ เนื่องจากใบพัดอาจหมุนกระแทกเข้ากับน้ำด้วยความรุนแรงจนเป็นสาเหตุให้แตกหรือหักได้ ซึ่งถ้าหากว่า ระดับน้ำเริ่มแตะใต้ท้องรถเมื่อไหร่ก็ให้รีบปิดแอร์ได้ในทันที หรือจะปิดก่อนหน้านั้นก็ได้
4. หากขับรถลุยบริเวณน้ำท่วมได้แล้ว ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที เพราะอาจจะมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ฉะนั้นเราควรติดเครื่องยนต์ไว้ก่อนเพื่อให้ความร้อนของเครื่องทำให้น้ำในหม้อพักระเหยออกมาจนหมด และท่อไอเสียของเราก็จะมีควันออกมาด้วย
5. ให้เราใช้ความเร็วต่ำที่สุดขณะลุยน้ำ เพราะการใช้ความเร็วสูงเกินไปจะทำให้น้ำไหลหลั่งเข้ามาในห้องเครื่องยนต์เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว จนอาจจะเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์น็อคเนื่องจากก้านสูบคดหรือหักได้
6. ห้ามเร่งเครื่องยนต์ ซึ่งหลายๆ คนนั้นก็มักจะเข้าใจผิดว่า การขับรถลุยน้ำท่วมต้องเร่งเคท่องให้รอบขึ้นสูงเพื่อป้องกันรถดับ แต่ทั้งนี้ในความเป็นจริงแล้วเป็นวิธีที่ผิด เพราะการการเร่งเครื่องยนต์ขึ้นสูงนอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ๆแล้วยังทำให้เครื่องยนต์มีแรงดูดอากาศเข้าไปยังห้องเผาไหม้มากขึ้น ซึ่งก็ไปเพิ่มความเสี่ยงที่น้ำจะถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์มากขึ้นด้วย
Comments
Post a Comment